ปี 2547 ชื่อ ”แนท-เกศริน” เด็กสาววัยใสจากเมืองสองแคว กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วทั้งประเทศ ไม่เฉพาะผู้ชายเท่านั้น แม้กระทั่งผู้หญิง เด็ก คนชรา ก็น้อยคนนักที่ไม่รู้จักแนทตามหน้าหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับและนิตยสารบันเทิงแทบทุกเล่ม

ที่พร้อมใจพาดหัวข่าวเรื่องของเธอ จนกลายเป็นประเด็นร้อนของสังคมขณะนั้น องค์กรสิทธิต่างๆ ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อน และในขณะเดียวกันผู้คนจำนวนมากก็พากันหาซื้อซีดีหนังโป๊แนทตามแหล่งใต้ดินต่างๆ ว่ากันว่าจำนวนก๊อปปี้แผ่นนับล้านเลยทีเดียว

หลังจากที่ตกเป็นข่าวดังทั่วประเทศ แนทก็ถูกเรียกตัวเข้าไปให้ปากคำแก่ตำรวจกองปราบเพื่อสาวไปยังต้นตอแหล่งผลิตซีดีลามก ซึ่งแนทให้การกับตำรวจว่า ตัวเองโดนล่อลวงให้เล่นหนังโป๊โดยที่ไม่ได้ยินยอม และด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

แต่ข่าวอื้อฉาวครั้งนั้นกลับสร้างงานและรายได้อย่างงามให้กับเธอ ทั้งเดินสายออกรายการบันเทิงตามช่องต่างๆ และโชว์ตัวที่ต้องเดินสายตลอดทั้งเจ็ดวันเต็มตามแหล่งบันเทิงทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในรถแทนบ้าน

ในทางตรงกันข้ามช่วงที่เป็นข่าวดังครึกโครมแนทก็ถูกตัดขาดจากครอบครัว เพราะสร้างความอับอายให้กับญาติพี่น้องถึงกับไม่อยากให้ใช้นามสกุลร่วมกัน รวมทั้งปัญหาชีวิตรักที่ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ความทุกข์ครั้งนั้นทำให้แนทคิดสั้นถึงกับกินยาฆ่าตัวตาย แต่เมื่อคิดถึงคุณย่าที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่ 2 ขวบ และเป็นเสมือนครอบครัวที่มีอยู่เพียงคนเดียว ก็ทำให้แนทมีกำลังใจกลับมาสู้กับปัญหาชีวิตและยอมรับผลจากการกระทำของตัวเองในครั้งนั้น

แล้ววันหนึ่งข่าวของแนทก็ค่อยๆ หายเงียบไปจากสังคมปากว่าตาขยิบ ทิ้งไว้เพียงชื่อ ”แนท” ที่ทุกคนยังจดจำได้อยู่ บางกระแสข่าวก็บอกว่าแนทตกอับถึงขั้นต้องไปรูดเสาโชว์ตามผับตามบาร์ หรือไม่ก็บอกว่าแนทเดินสายโชว์เปลือยอกแปะจุกด้วยสติกเกอร์ หรือไม่ก็ไปเป็นเด็กเสี่ย เด็กป๋าจนตั้งท้อง ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเธออยู่ที่ไหน ทำอาชีพอะไร

ล่าสุด ”แนท” เปลือยชีวิตผ่านรายการคนค้นฅน เทปที่เตรียมออกอากาศวันอังคารที่ 19 ต.ค.นี้

เส้นทางสู่ดวงดาว (เอ็กซ์)
สิ่งที่ทำให้หนูเดินทางเข้าสู่วงการนางแบบนี้ ก็ต้องเล่าย้อนกลับไปตอนที่หนูยังเป็นเด็กเสิร์ฟที่พัฒนาการ เห็นป้ายรับสมัครนักแสดง ตัวประกอบติดอยู่ใต้คอนโด หนูก็ไปสมัคร ก็ได้ไปเล่นเป็นตัวประกอบเรื่องปากคลองตลาด และเมืองมายา เลยได้รู้จักกับพี่ในกองถ่าย พี่เขาก็บอกถามว่าอยากเป็นนางแบบหรือเปล่า แล้วกล้าถ่ายมั้ยเขารู้จักกับโมเดลลิ่ง เราก็บอกว่า หนูกล้าพี่ รีบรับปากเลย ไม่ปรึกษาใครเลย เขาก็พาไปถ่าย

ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่านางแบบนู้ดมันคืออะไร อาร์ เอ็กซ์คืออะไร เพราะความรู้หนูมีน้อย แค่เรารู้สึกว่า เออ…ระหว่างที่กลางวันเราว่างกลางคืนเราเสิร์ฟ มันก็ยังมีรายได้ ตัวประกอบวันละ 300-500 ก็ยังดี ใครโทร.มาเราไปหมด ไม่เลือก และไม่คิดว่ามันจะเป็นข่าวโด่งดังขึ้นมาได้ หลังจากนั้นพี่เขาก็พาไปถ่ายโน่นนี่ อย่างหนังที่เป็นข่าวดังเราก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร อย่างที่บอกว่าความรู้น้อย และเป็นคนมั่นใจตัวเองมาก ไม่แคร์เรื่องครอบครัวว่าจะเป็นยังไงตามมา เหมือนเรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วยอายุเราด้วย แต่เรื่องยา บุหรี่เราไม่ยุ่งเลย แต่ถามว่าดื่มมั้ย ยอมรับว่าตอนนั้นดื่มหนักค่ะ

จากผลกระทบหนังแผ่นปี 2547
อย่างเรื่องหนังแผ่นที่โด่งดังขึ้นมาเราก็ไม่ได้ตั้งใจให้ดัง ตอนแรกไม่รู้ด้วยซ้ำ เช้าวันนั้นคุณอาโทร.มาบอกว่ามีข่าว เรายังนอนไม่ตื่น ก็ยังงงอยู่ว่ามันเป็นข่าวได้ยังไง ให้ยามไปซื้อหนังสือพิมพ์มาให้ ตอนนั้นไม่กล้าออกไปไหนเลย ที่บ้านได้รับผลกระทบหนักมาก เพราะเราใช้ชื่อจริง นามสกุลจริง ย่าเสียใจมาก ครอบครัวตัดขาดจากหนูเลย เพราะทางญาติก็รับราชการเยอะ เหมือนหนูเอานามสกุลชัยเฉลิมผลมาทำให้เสื่อมเสีย

ก้าวเข้าสู่วงการหนังแผ่นอย่างเต็มตัว
พอหลังจากที่เป็นข่าวดัง ก็มีงานเข้ามาเยอะมาก เดินสายโชว์ตามผับต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัดมีคนสมัครมาเป็นผู้จัดการหลายคน แต่ละคนก็รับงานมาเท่าไหร่ไม่รู้แต่หักโน่นนี่แล้วให้เรานิดหน่อย สุดท้ายจนเราไม่ไหวก็เอาอามาดูแลงานให้ แล้วมีข่าวว่าทำกันเป็นแก๊งขายลูกขายหลาน จริงๆ แล้ว ไม่ใช่นะ หนูก็แค่ให้อามาดูแลแทนดีกว่าให้ผู้จัดการพวกนั้นแย่งกันหาเงินจากหนู ตอนได้เงินมาอันดับแรกคือซื้อทองคืนย่า พาไปเลือกที่ร้านเลย แถมที่ตัวเองมีอยู่ให้ย่าอีก และให้เงินเก็บด้วย ชดเชยที่เราทำไป ตอนนี้ย่าเขาก็ไม่ได้ห้ามว่าอย่าถ่ายอย่าเล่น เพียงแต่บอกว่า อย่าทำให้มันเป็นข่าวอีก ดูแลตัวเองดีๆ บางทีหนูล้อย่าว่า ย่าหนูจะบวชตลอดชีวิตนะ เขาก็บอกว่า โอนตังค์ยัง ก็บอกเขาว่ายังอยู่วัดอยู่เลย บางทีก็ล้อเขาว่า ย่าหนูจะโกนหัวบวชแล้วนะ เขาจะบอกว่า จะเอาอะไรกินล่ะ หนูก็บอกว่าไม่หรอกหนูยังห่วงย่าอยู่ ย่าเป็นคนที่พูดตรงๆ แกจะกลัวว่าไม่มีเงินไปโรงพยาบาล ตอนหลังก็ให้คุณอาเป็นผู้จัดการให้คอยดูแลเรื่องเงินทุกอย่างเรามีหน้าที่ทำงานตามที่บอก มาตอนนี้ค่าตัวถ้าเล่นหนังแผ่นต่อเรื่องก็ประมาณ 2 หมื่นกว่าๆ แต่เรื่องเพราะทุนมันน้อย ถ่ายแบบก็ไม่ค่อยได้ถ่ายไม่ค่อยมีงานเข้ามา อาศัยงานเดินโชว์มากกว่าที่ยังมีเข้ามาเรื่อยๆ ประปราย หนูก็รู้ว่างานแบบนี้มันมีขึ้นมีลง ก็ต้องหารายได้เสริมไว้ อย่างมีเวลาก็ไปเดินสำเพ็งไปเอาน้ำหอมมาขายกับป้า และเวลาที่หนูไปทำงานก็จะพกน้ำหอมไปขายด้วยขวดละ 129 บาท พอได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ

ท้องแล้วแท้งลูก!!
ช่วงหนึ่งมีข่าวว่าหนูท้อง จริงๆ ก็ท้องจริง แต่แท้งตอนสี่เดือน ซึ่งตอนท้องสุขภาพเราก็ไม่ค่อยดีด้วย ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะมีลูกแต่เมื่อมีก็รับได้ ที่บ้านแฟนไม่รู้เรื่อง แต่บ้านเรารู้ทุกอย่าง ตอนนั้นมีหนังเรื่องเมียงูเข้ามาด้วย หมอก็บอกว่าอย่าใส่รองเท้าส้นสูงนะ แต่เรายังต้องทำงานโชว์ตัว สุดท้ายก็เสียลูก หลังจากแท้งก็เลิกกัน (เขามีครอบครัวแล้ว) และอีกอย่างผู้ชายที่เราคบแต่ละคนค่อนข้างเพลย์บอย แต่นิสัยหนูพอมีแฟนก็จะเก็บตัว ชอบอยู่บ้าน เป็นแม่บ้าน ขี้บ่น รสนิยมง่ายๆ แต่งตัวง่ายๆ ส่วนแฟนชอบเข้าสังคมยังรักสนุกก็อยู่กันไม่ได้ พอเลิกกันก็เริ่มต้นนับศูนย์ใหม่ หนูขนข้าวของทุกอย่างที่มีในห้องพักไปให้วัดที่ลพบุรีหมด ตู้เย็น เตาไมโครเวฟ ถวายหมด กระเป๋าเสื้อผ้าแบรนด์เนมก็บริจาคหมด

เส้นทางสู่สายธรรมะ
เรื่องผิดหวังในชีวิตคู่หนูก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่ที่รู้สึกว่าผิดหวังและเสียใจมากก็คือเรื่องลูก มันเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้หนูหันหน้าเข้าวัดด้วย รู้สึกว่าเราคงมีวิบากกรรมเยอะชีวิตมันถึงเป็นแบบนี้เจอเรื่องแบบนี้ตลอด เวลาอยู่ที่วัดก็นั่งคิดทบทวนตัวเอง รู้สึกว่าชีวิตเรามันมีกรรมเยอะ ชีวิตครอบครัวตอนเด็กก็ไม่สมบูรณ์ พ่อแม่ก็ไม่มี โดดเดี่ยวอย่างเรื่องลูกหนูรู้สึกผิดมากที่ดูแลเขาไม่ได้ ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าตัวเองท้องแต่ไม่ดูแล ยังรับงานทั้งๆ ที่รู้ว่างานมันหนัก ไม่ห่วงเขาเลยว่าจะเป็นยังไง เรารู้สึกผิดและบาปมาก ตอนท้องแฟนก็ไม่ได้บอก ก่อนหน้านี้ก็เข้าวัดบ้างเหมือนกันแต่ไม่ประจำ เพิ่งมาเข้าวัดเป็นจริงเป็นจังตอนที่เอาข้าวของส่วนตัวไปบริจาคหลังจากแท้งลูก แล้วเลิกกับแฟน

ชีวิตปัจจุบัน…ผู้หญิงสองโลก
การที่หนูหันหน้าเข้าวัดไม่ใช่ว่าหนูหมดที่พึ่งไม่มีหนทาง แต่หนูรู้สึกว่าจิตมันว้าเหว่ การสูญเสียอะไรที่มันสองเด้งมันหนักมาก สูญเสียพ่อ สูญเสียแม่ สูญเสียลูก หลังจากนั้นก็เข้าวัดเรื่อยๆ ถ้าไม่ติดงาน ถ้าวันพระก็ทำบุญถวายสังฆทานรักษาศีล 8 วัดในกรุงเทพฯ ที่ไปบ่อยๆ จะเป็นวัดปทุมวนาราม ส่วนต่างจังหวัดก็ไปทั่วแต่ส่วนมากจะไปวัดสายธรรมยุตเวลาใส่ชุดขาวห่มขาวหนูรู้สึกว่าสีขาวมันดูสะอาด ถ้ามีเวลาก็อยากอยู่นานๆ มีเวลาน้อยก็อยู่น้อย จะเดินทางไปคนเดียว นั่งรถทัวร์ มีรถไฟก็ไปรถไฟ บางวัดก็มีกุฏิให้พัก กุฏิใครกุฏิมัน อย่างที่วัดหนองพอก (วัดผาน้ำย้อย) หนูไปอยู่มาหนึ่งเดือน ต้องตื่นตี 3 ทำวัตร ตี 4 ทำกับข้าวบางครั้งก็ทำน้ำปานะ จะมาบิณฑบาตรที่ศาลาตอน 6 โมงครึ่ง มีญาติโยมมาใส่บาตรกันเยอะ ตอนกลางวันก็รดน้ำต้นยางพารา คือเราจะทำงานเหมือนชาวบ้านทุกอย่างส่วนชีวิตทางโลกหนูก็ยังต้องมีวิถีชีวิตอยู่เหมือนคนอื่นๆ ยังต้องทำงานหาเงินอยู่ ยังมีย่า ยังต้องกินต้องใช้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ที่พักก็ต้องจ่ายเดือนหนึ่งตกราวๆ 5-6 พันบาท ค่าน้ำหอมก็ไม่ค่อยเข้ากระเป๋าเอาเข้าวัดหมด รายได้ตัวเองก็ไม่มาก บางเดือนแทบไม่มี ป้าก็จ่ายให้ หนูก็ต้องหาเงินมาใช้คืนป้าทีหลัง ที่ยังไม่ทำงานประจำกินเงินเดือนเป็นเพราะว่าเรายังไม่พร้อมด้วย ยังอยากอยู่อย่างนี้ไปก่อน

ย่าคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
ตอนนี้ย่าอายุ 70 กว่าปีแล้ว เจ็บออดๆ แอดๆ จำอะไรไม่ค่อยได้ สุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็ต่ออายุขัยให้แกมาเรื่อยๆ ทุกปี คำว่าให้เวลากับครอบครัวสำหรับหนูคือให้เวลากับย่า ให้เวลากับตัวเอง อย่างอาเขาก็มีครอบครัวของเขา เวลากลับบ้านก็ไม่ได้เจอเขา เขาไปทำงาน หนูก็ไปหาย่าของหนู เวลาไปก็จะนั่งรถไฟไป หนูไม่มีรถนะ ไปทีนึงก็เป็นอาทิตย์หรือไม่มีเวลาก็ประมาณ 3-4 วัน คือย่าสำหรับหนูแล้วเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ก็บอกเขาว่า ย่าต้องดูแลตัวเองนะ ถ้าไม่มีย่าแล้วหนูก็หมดที่พึ่ง ไม่มีใครนะ หนูก็จะพยายามโทร.หาย่าทุกวัน




Comments are closed.